อาทิวรรณ โชติพฤกษ์ (2553, หน้า 7) กล่าวว่า
การตั้งคำถามเป็นขั้นตอนที่สำคัญ
เพราะคำถามวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งขึ้นบ่งบอกให้ทราบถึงประเด็นที่ผู้วิจัยต้องการทราบหรือทำความเข้าใจในเรื่องที่เลือกเป็นหัวข้อวิจัยนั้นๆ
อีกทั้งยังช่วยให้ผู้วิจัยประเมินว่าต้องทำงานวิจัยอย่างไรและในทิศทางใด
จึงจะนำไปสู่คำตอบของคำถามนั้นๆ
ทั้งนี้ผู้วิจัยอาจเริ่มตั้งคำถามด้วยวลีคำถาม เช่น อะไร
อย่างไร ที่ไหน เมื่อไร
กับใคร ตัวอย่างเช่น
-หัวข้อวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของอะไร
และประกอบด้วยเรื่องอะไรบ้าง
-ความเป็นมาของเรื่องนี้เป็นอย่างไร
-เรื่องนี้สามารถจัดหมวดหมู่ให้อยู่ในประเภทใด
-เรื่องนี้มีอะไรดี
สามารถนำไปใช้อะไรได้บ้าง
เมื่อรวบรวมคำถามที่ตั้งขึ้นมาแล้ว
ควรจัดกลุ่มของคำถาม และมุ่งความสนใจไปยังคำถามที่ขึ้นต้นด้วยทำไม หรืออย่างไร
และพิจารณาว่าคำถามไหนที่ผู้วิจัยสนใจและอยากรู้คำตอบที่สุด
คำถามนั้นจะเป็นคำถามสำหรับงานวิจัยของผู้วิจัย
องอาจ นัยพัฒน์ (2551, หน้า 43-44) ให้แนวทางไว้ว่า
การเขียนปัญหาการวิจัย ในรูปคำถามสามารถเขียนได้ 3
ลักษณะ คือ
1. ประเด็นคำถามเชิงพรรณนา
ได้แก่
การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัยในรูปคำถามที่ว่า“ อะไรคือ
อะไรเป็น” (What is)การตอบประเด็นคำถามดังกล่าวนี้ แสดงเป็นนัยว่า
นักวิจัยจะต้องอาศัยการวิจัยเชิงสำรวจ
เช่น
-อะไรคือพฤติกรรมแปลกแยกของนิสิต/นักศึกษาที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ ?
-อะไรคือพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารโรงพยาบาลศูนย์ดีเด่นและไม่ดีเด่น ?
2. ประเด็นคำถามเชิงความสัมพันธ์
ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัย
ในรูปของคำถามที่มุ่งหาคำตอบว่า“ ตัวแปร X มีความสัมพันธ์กับตัวแปร Y หรือไม่” หรือ“ ตัวแปร
X พยากรณ์ตัวแปร Y ได้หรือไม่”การสืบหาคำตอบของคำถามทั้ง
2 ประเด็นนี้
แสดงเป็นนัยว่านักวิจัยต้องออกแบบการวิจัยเป็นประเภทการศึกษาสหสัมพันธ์(correlation design)
เช่น
-อัตมโนทัศน์ของนักเรียนมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือไม่ ?
-เพศ
ผลการเรียนเดิมเกรดเฉลี่ย(GPA)ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ความเอาใจใส่ต่อการศึกษาเล่าเรียน
ทำนายความสำเร็จในการศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีได้อย่างแม่นตรงหรือไม่ ?
3. ประเด็นคำถามเชิงเปรียบเทียบ
ได้แก่ การกำหนดหัวข้อปัญหาวิจัย
ในรูปของคำถามที่มุ่งเน้นการเปรียบเทียบพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ที่สนใจระหว่างกลุ่มควบคุมที่ที่ดำเนินตามสภาวะปกติและกลุ่มทดลองที่จัดกระทำทางการทดลองขึ้น
กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ รูปแบบของคำถามประเภทนี้มุ่งหาคำตอบว่า“มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่างหรือวิธีการที่นักวิจัยดำเนินการขึ้นหรือไม่”คำถามวิจัยประเภทนี้ต้องอาศัยแบบการวิจัยเชิงทดลอง(experimental
design) หรือการศึกษาย้อนรอยเปรียบเทียบหาสาเหตุ(causal
comparative design) มาใช้ในการสืบค้นหาคำตอบ เช่น
ผู้บริหารโรงพยาบาลศูนย์ดีเด่นและไม่ดีเด่น
มีพฤติกรรมการบริหารงานด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง(transformational
leadership) การจัดการ การตัดสินใจ
และการติดต่อสื่อสารแตกต่างกันหรือไม่?
สรุป
การตั้้งคำถามเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะคำถามวิจัยที่ผู้วิจัยตั้งขึ้นบ่งบอกให้ทราบถึงประเด็นที่ผู้วิจัยต้องการทราบหรือทำความเข้าใจในเรื่องที่เลือกเป็นหัวข้อวิจัยนั้นๆ
อีกทั้งยังช่วยให้ผู้วิจัยประเมินว่าต้องทำงานวิจัยอย่างไรและในทิศทางใด
จึงจะนำไปสู่คำตอบของคำถามนั้นๆ ทั้งนี้ผู้วิจัยอาจเริ่มตั้งคำถามด้วยวลีคำถาม
เช่น อะไร อย่างไร
ที่ไหน เมื่อไร กับใคร
เอกสารอ้างอิง
สุวิมล
ว่องวานิช. (2550). แนวทางการให้คำปรึกษาวิทยานิพนธ์.
(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
องอาจ นัยพัฒน์. (2551). วิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.
(พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร : สามลดา.
อาทิวรรณ
โชติพฤกษ์.
ก้าวสู่ความเป็นนักวิจัยมืออาชีพ.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น